
สารจากประธานกรรมการ
ดร.ชุมพล พรประภา
ประธานกรรมการ
เรียนท่านผู้ถือหุ้น
เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีการขยายตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากซบเซาไปในช่วงปิดประเทศในช่วงวิกฤตการณ์โรคระบาด COVID-19 ที่เริ่มต้นในปี 2563 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และมีการส่งเสริมการลงทุนใน S Curve ใหม่ในหลายอุตสาหกรรมเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีอัตราการขยายตัว 2.5% ปรับเพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัวในปี 2566 ที่ 1.9% การส่งออกของไทยขยายตัว 5.4% มูลค่ากว่า 10.5 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากที่หดตัวในปี 2566 ที่ 1.0% สำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเริ่มกลับมาเที่ยวประเทศไทยมากถึง 35.5 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติสูงสุด 39 ล้านคนในปี 2562 ส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กระเตื้องขึ้น ประกอบกับมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีความต้องการสินค้าเกือบทุกชนิดเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับสูง มีการย้ายฐานการผลิตของทุนใหญ่มายังกลุ่มประเทศอาเซียนรวมถึงไทยมากขึ้น ส่วนสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่เริ่มต้นตั้งแต่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 จนถึง ณ สิ้นปี 2567 เป็นเวลา 1,042 วัน ยังไม่มีท่าทีที่จะสงบลงโดยเร็ว สำหรับราคาน้ำมันดิบโลก BRENT มีราคาเฉลี่ยทั้งปี USD 81.13 ต่อ Barrel ลดลง 1.22% จากปี 2566 และ WTI มีราคาเฉลี่ยทั้งปี USD 77.13 ต่อ Barrel ลดลง 0.82% จากปี 2566 ราคาแก๊สในยุโรป (Dutch TTF Natural Gas) ซึ่งเคยพุ่งสูงสุดถึง USD 84.15 ต่อ MMBTU ในเดือนสิงหาคม 2565 ปัจจุบันราคาเฉลี่ยอยู่ที่ USD 15.00 ต่อ MMBTU ณ สิ้นปี 2567 ด้านดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปี 3 ครั้ง รวม 100 bps จาก 5.25 - 5.50% ณ สิ้นปี 2566 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่สิงหาคม 2550 สูงสุดในรอบ 22 ปี ลงมาที่ 4.25 - 4.50% ณ สิ้นปี 2567 และธนาคารกลางของสหภาพยุโรป EU ได้ปรับลดดอกเบี้ยอ้างอิงต่อเนื่องตลอดทั้งปี 4 ครั้งรวม 135 bps จาก 4.50% ณ สิ้นปี 2566 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 24 ปี ลงมาที่ 3.15% ณ สิ้นปี 2567 สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง 25 bps ซึ่งเป็นการลดครั้งแรกในรอบ 4 ปี จากที่ 2.50% ณ สิ้นปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 2.25% เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางโลก
ในปี 2567 ราคาพลังงานยังคงสูง กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน รัฐบาลได้ทยอยปรับลดการอุดหนุนราคาพลังงานหลังจากราคาพลังงานในตลาดโลกผ่อนคลายลง เพื่อลดการขาดทุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากการอุดหนุนราคาพลังงานอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีรัฐบาลได้ขยายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพโดยการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจนถึงสิ้นปี 2567 ไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร จนทำให้ในปี 2567 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดทุนลดลงอยู่ที่ 77,532 ล้านบาท ซึ่งลดลงจาก 111,595 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม 2567 และได้เริ่มทยอยคืนเงินกู้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 ที่มีกำหนดชำระคืนแล้วเสร็จภายใน 3 ปี ส่วนภาคการเกษตรของไทยในปี 2567 สามารถขยายตัวได้ 0.3% เทียบกับปี 2566 ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้นเล็กน้อย และในปีที่ผ่านมาภาคการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 35.5 ล้านคน และนักท่องเที่ยวไทย จำนวน 197.6 ล้านคน-ครั้ง รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย ในปี 2567 สูงถึง 2.6 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปี 2566 หรือคิดเป็นประมาณ 86% ของรายได้ที่เคยทำสถิติสูงสุดในปี 2562 ก่อนการระบาด COVID-19
ในปี 2567 ตลาดรถจักรยานยนต์มียอดจำหน่าย 1,708,215 คัน ลดลง 9.07% และเป็นการลดลงครั้งแรกหลังจากขยายตัวต่อเนื่อง 3 ปีก่อนหน้านี้ ส่วนตลาดรถยนต์มียอดจำหน่าย 572,675 คัน ลดลง 26.18% หดตัวต่อเนื่อง 2 ปี บริษัทยังคงนโยบายเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง เป็นการปรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับผลกระทบต่อเนื่อง (After Effect) ของการระบาดของ COVID-19 คุณภาพสินเชื่อที่อ่อนแอลงในภาคธุรกิจเช่าซื้อ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกประกาศเรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2565 และพระราชกฤษฎีกาเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแลธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบสีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งเลื่อนบังคับใช้มาหลายครั้งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 หรือแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) รวมถึงมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบยั่งยืน ซึ่งเริ่มมีการบังคับใช้เมื่อ วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นผลให้ลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้ให้กู้ยืมสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ ฐิติกรอยู่ที่ 1,994.5 ล้านบาท ลดลง 45.5%. โดยมีลูกหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศอยู่ที่ 764.4 ล้านบาท ลดลง 63.3% ลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ 206.3 ล้านบาท ในขณะที่ลูกหนี้เช่าซื้อใน สปป.ลาว และ กัมพูชา อยู่ที่ 944.8 ล้านบาท ลดลง 24.7% ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 47.4% ของลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้ให้กู้ยืมสุทธิของบริษัทฯ โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดกว่า 3,190.0 ล้านบาท คิดเป็น 54.3% ของสินทรัพย์รวม อีกทั้งมีหนี้สินต่อทุนที่ 0.1 เท่า ดังนั้นในระยะสั้นและระยะปานกลางบริษัทฯ มีความพร้อมด้านสภาพคล่องที่จะสามารถเผชิญกับดอกเบี้ยขาขึ้นได้อย่างไม่มีปัญหา
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ขอบคุณลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ นักลงทุน สถาบันการเงิน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และท่านผู้ถือหุ้นที่ได้ให้ความไว้วางใจ และให้การสนับสนุนด้วยดีเสมอมา ความสำเร็จขององค์กรตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกิดจากความมุ่งมั่น และประสบการณ์ของบุคลากร ตลอดจนผู้บริหาร พนักงานของบริษัท ทำให้บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการชั้นนำมากว่า 50 ปี ในธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายงานเพื่อเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทฯ ชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน ข้าพเจ้ามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า บริษัทฐิติกร ซึ่งมีฐานะการเงินที่มั่นคง จะสามารถผ่านวิกฤตไปได้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขออวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง